วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

อุปกรณ์กำเนิดแสงและรับแสง

อุปกรณ์ให้กำเนิดแสง  (Transmitter Devices)  เป็นอุปกรณ์ที่เปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้าให้เป็นสัญญาณแสงเลเซอร์ อุปกรณ์ที่นิยมใช้ในงานการสื่อสารทางแสง  เป็นประเภทเลเซอร์ไดโอด  หรือเลเซอร์สารกึ่งตัวนำ  เพราะเลเซอร์ประเภทนี้มีขนาดเล็ก ราคาถูก ใช้งานได้สะดวกอุปกรณ์ให้กำเนิดเเสงที่นิยมใช้งานมีอยู่  2 ชนิด  คือ  ไดโอดเปล่งแสง(Light-Emitting Diode : LED) และเลเซอร์ไดโอด(Laser Diode : LD)  ส่วนอุปกรณ์รับแสง (Receiver Devices) เป็นอุปกรณ์เปลี่ยนสัญญาณแสงเลเซอร์กลับไปเป็นสัญญาณไฟฟ้าอุปกรณ์รับแสงที่นิยมใช้ในการสื่อสารทางแสงมี2ชนิดคือโฟโตไดโอด  (Photo Diode  : PD)  และอวาแลนช์โฟโตไดโอด (Avalanche Photo Diode : APD)
ในช่วงระหว่างสถานีส่งสัญญาณและสถานีรับสัญญาณที่เชื่อมด้วยเส้นใยนำแสงจะต้องมี
สถานีทวนสัญญาณ(Repeater)ทำหน้าที่ขยายและจัดรูปสัญญาณที่เกิดการผิดเพี้ยนไปในระหว่าง
การเดินทาง แสดงในรูป 3  ในการใช้งานจริง ระยะห่างระหว่างสถานีทวนสัญญาณ(Repeater spacing) จะมีค่าประมาณ 30-50 กิโลเมตร โดยจะขึ้นกับขนาดหรือปริมาณของข้อมูลที่ใช้รับส่ง ตัวอย่างเช่น ระบบสื่อสารด้วยเส้นใยแก้วที่ถูกออกแบบ ใช้งานทั่วไปสามารถรับส่งสัญญาณข้อมูลที่มีขนาด2 Gb/s (สองพันล้านบิตในหนึ่งวินาที) ไปเป็นระยะทาง2,200 กิโลเมตร โดยมีสถานีทวนสัญญาณเพียง 25 สถานี ในทุกๆระยะ 80 กิโลเมตรเท่านั้น

1.ภาคส่งสัญญาณข้อมูล (Transmission Data)
  • อุปกรณ์สำคัญ ที่ทำให้ระบบสื่อสารด้วยเส้นใยนำแสงแตกต่างจากระบบสื่อสารทั่วไป คืออุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รับส่งสัญญาณแสงที่ใช้นำข้อมูลไปในเส้นใยนำแสง โดยมีแหล่งกำเนิดแสง (Light Source)เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่แปลงสัญญาณไฟฟ้าเป็นสัญญาณแสงหรือ  E/O Converter แหล่งกำเนิดแสงที่ใช้ในระบบสื่อสารด้วยเส้นใยนำแสงต้องมีคุณสมบัติบางประการ เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานร่วมกับเส้นใย นำแสงที่ทำจากสารกึ่งตัวนำโดยการปล่อยอิเล็กตรอนในแถบน าไฟฟ้าลงสู่แถบวาเลนซ์(Valence Band) รวมตัวกันของอิเล็กตรอน(Electron)และโฮล(Hole)แล้วปล่อยพลังงานออกมาในรูปของ
    โฟตอน(Photon)ซึ่งเป็นอนุภาคของแสงดังต่อไปนี้
    1.1สามารถให้แสงที่มีพลังงานหรือความเข้มแสงมากพอที่ทำให้สัญญาณแสงสามารถเดินทางไป
    ได้ตลอดระยะทางของการสื่อสาร
    1.2โครงสร้างของแหล่งกำเนิดแสงต้องสามารถส่งพลังงานแสงส่วนใหญ่หรือทั้งหมดเข้าไปในเส้นใยนำแสงที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดเล็กได้นั่นคือมุมของการเปล่งแสงออกจากแหล่งกำเนิดมีลักษณะกระจายเป็นมุมกว้าง อาจใช้อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รวมแสงเช่นเลนส์นูนเข้ามาช่วยเพื่อรวมแสงส่วนใหญ่ให้พุ่งเข้าสู่เส้นใยนำแสงได้
    1.3ความยาวคลื่นของแสงที่ได้ต้องมีความเหมาะสมกับเส้นใยแก้วที่ใช้ ในระบบสื่อสารใยแสง ความยาวคลื่นแสงที่เหมาะสมกับเส้นใยแก้วมากที่สุด มีค่าประมาณ1.55ไมครอน รองลงมาอาจได้แก่1.3 ไมครอน และ 0.82 ไมครอน
    1.4 ช่วงเวลาตอบสนอง(Response time)ของแหล่งกำเนิดหรือช่วงเวลาที่แหล่งกำเนิดได้รับสัญญาณไฟฟ้า แล้วสร้างสัญญาณแสงออกมา ต้องมีค่าสั้นมากๆอันจะมีผลทำให้ได้วงจรขับสัญญาณแสงสามารถส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงหรือมีปริมาณมากๆได้ดังนี้
    1.5กำลังงานแสงต้องมีค่าคงที่ต่อเนื่องตลอดเวลา และไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆอันเนื่องจากผลของอุณหภูมิ และสภาพแวดล้อมขณะใช้งาน

    2.แหล่งกำเนิดแสง (Light  Source)
  • จากรูป แสดงแนวคิดแหล่งกำเนิดแสงผ่านเส้นใยนำแสงในทางปฏิบัติ การกำเนิดแสงแบ่งเป็น 2 ลักษณะคือ การปล่อยเอง (Spontaneous Emission) และการปล่อยแบบกระตุ้น (Stimulated Emission) การกำเนิดโดยการปล่อยแบบกระตุ้น  ทำให้ได้แสงที่มีความเข้มสูงซึ่งเป็นหลักการกำเนิดแสงของเลเซอร์ (LASER)เหมาะกับการสื่อสารทางไกลในขณะที่แอลอีดี (LED) กำเนิดแสงโดยการปล่อยเอง ทำให้แสงที่ได้มีความเข้มต่างๆ ไม่สามารถสร้างลำแสงแบบโหมดเดียวได้  สำหรับงานสื่อสารทางไกล
    รูปแสดง การกำเนิดแสง  (ก) การปล่อยเอง (ข) การปล่อยแบบกระตุ้น

    การกำเนิดแสงด้วยสารกึ่งตัวนำจะใช้รอยต่อพีเอ็น (P-N)เป็นโครงสร้างพื้นฐานโดยการให้ไบอัสตรงกับรอยต่อพีเอ็นเป็นผลให้โฟตอนของแสงได้ความถี่และความยาวคลื่นของแสงออกมาขึ้นอยู่กับช่องว่างพลังงาน (Energy Gap : EG)  ของสารกึ่งตัวนำ
    ตัวอย่างของแหล่งกำเนิดแสงที่สร้างจากสารกึ่งตัวนำGaAsซึ่งมีค่าEg = 1.13 eVจะปล่อยแสงออกที่ความยาวคลื่นเท่ากับ  0.87 µm ซึ่งเป็นแสงในย่านอินฟาเรดไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า เหมาะสำหรับการสื่อสารระยะใกล้ ใช้ในงานเครือข่ายคอมพิวเตอร์ภายในอาคารแหล่งกำเนิดแสงที่นิยมใช้กันมากในระบบแสงและเส้นใยนำแสง  ได้แก่แหล่งกำเนิดแสงสารกึ่งตัวนำ เช่นไดโอดเลเซอร์และไดโอดเปล่งแสงที่มีความต้องการกำลังไฟฟ้าต่างๆ เป็นต้น


    3.ภาครับสัญญาณข้อมูล (Receiver Data)
    อุปกรณ์รับข้อมูลทางแสง(Photo  Detector)ตัวตรวจจับแสงหรือ โฟโต้ดีเทคเตอร์ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้รับสัญญาณข้อมูล (Receiver Data)แล้วแปลงสัญญาณแสงเป็นสัญญาณไฟฟ้า(O/E) ซึ่งโดยปกติสัญญาณแสงที่เครื่องรับปลายทางในระบบสื่อสารทางแสงจะมีขนาดต่างมากและ
    มีการผิดเพี้ยนเกิดขึ้นเสมอดังนั้นในระบบสื่อสารทางแสงจึงต้องการโฟโต้ดีเทคเตอร์ที่มี
    ประสิทธิภาพสูงมากกล่าวคือโฟโต้ดีเทคเตอร์จะต้องมีความไวในการรับสูงให้ผลตอบสนองต่อ
    สัญญาณแสงที่ดีรวดเร็วแบนด์วิธกว้าง (High Bandwidh) และเกิดสัญญาณรบกวนต่างๆ มากในย่านความยาวคลื่นที่ใช้งานโฟโต้ดีเทคเตอร์มีอยู่หลายชนิด  เฉพาะโฟโต้ดีเทคเตอร์ที่ใช้สารกึ่งตัวนำ  หรือที่เรียกว่าโฟโต้ไดโอด (Photo  diode) เป็นแบบที่มีความเหมาะสมกับการประยุกต์ใช้งานด้านการสื่อสารทางแสง  เนื่องจากมีนาดเล็กมีความไวสูงและให้ผลตอบสนองที่รวดเร็ว
    -ไดโอด APD (Avalanche Photo Diode)
    ไดโอดAPDมีโครงสร้างคล้ายกับพินไดโอดแต่มีชั้นของสารกึ่งตัวนำเป็น n+pip+ซึ่งตรงรอยต่อระหว่างn+(โด๊ปให้มีปริมาณของอิเล็กตรอนสูงมาก)และp จะเกิดเป็นบริเวณที่สนามไฟฟ้ามีค่าสูงมากเมื่อได้รับการไบแอส ทำให้เกิดการชนกันของอิเล็กตรอนและโฮลในบริเวณนี้ทำให้ทั้งอิเล็กตรอนและโฮลเกิดการแตกตัวและมีปริมาณเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณดังนั้นค่ากระแสที่ได้จากการตรวจจับแสงจึงมีค่าเพิ่มเป็นทวีคูณด้วยกล่าวคือเกิดการขยายของกระแสไฟฟ้าขึ้นภายในตัวไดโอด   APD ซึ่งปรากฏการณ์นี้เรียกว่า avalanche  effect  โดยค่าที่ทวีคูณ (Multiplication : M) ได้จากนิยามดังนี้
    โดยที่   IM เป็นค่าเฉลี่ยของกระแสเอาต์พุตเมื่อมีการทวีคูณ
    IP เป็นกระแสในกรณีที่ไม่มีการทวีคูณ
    รูปแสดงโครงสร้างของไดโอดAPD
     ไดโอดรับแสงแบบ APD จะมีโครงสร้างและลักษณะของสนามไฟฟ้าดังรูป จะเห็นว่ามีสาร P+ มาต่อที่ปลายอีกด้านหนึ่งของสารกึ่งตัวนำบริสุทธิ์โดยสาร P+ นี้จะหมายถึงสารพีที่มีความหนาแน่นของโฮลสูงเพื่อให้สนามไฟฟ้าบริเวณสารพี-เอ็น มีค่ามากคือ เกิดช่วงที่เรียกว่า "ช่วงอัตราขยาย (Gain region)" หรือ "ช่วงอวาลานซ์(Avalanche region)"
    โดยปกติการทวีคูณของกระแสจะเกิดขึ้นเมื่อมีการให้ไบแอสกลับด้วยค่าแรงดันประมาณ15 V ขึ้นไปโดยค่าทวีคูณหรืออัตราขยายอาจมีค่าสูงถึง1,000เท่า    รูปแสดงอัตราขยายกระแสของไดโอด  APD  ที่ทำจากสารกึ่งตัวนำ ซิลิกอน
    รูปแสดงอัตราการขยายกระแสของไดโอดAPDณ ความยาวคลื่นต่างๆ
    การทำงานเมื่อมีแสงมาตกกระทบจะทำให้ให้มีการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนจากสาร N ไปยังสาร
    P และเมื่ออิเล็กตรอนเดินทางมายังสาร P อิเล็กตรอนจะได้รับพลังงานจำนวนมากกว่าผลต่างของระดับพลังงานระหว่างแถบความนำและแถบวาเลนซ์เมื่ออิเล็กตรอนได้รับพลังงานมากระตุ้นจะส่งผลให้อิเล็กตรอนมีพลังงานสูงพอที่จะทำให้อิเล็กตรอนและโฮลที่รวมตัวกันอยู่ในช่องว่างบริเวณรอยต่อแตกตัวออกทำให้ช่องว่างบริเวณรอยต่อยิ่งแคบลงส่งผลให้อิเล็กตรอนสามารถข้ามไปรวมตัวกับโฮลได้มากขึ้นและเร็วขึ้น   โดย APD มีความไวสูงกว่า PIN ประมาณ 10-20 dB รูปแสดงโครงสร้างและรูปร่างของไดโอดรับแสงแบบ APD
    รูปแสดงโครงสร้างและรูปร่างของไดโอดรับแสงแบบ APD
    เนื่องจากไดโอด APD ที่นำมาใช้งานจริงในปัจจุบันส่วนใหญ่ทำเป็นชุดหรือ Module เรียบร้อยแล้ว สะดวกสำหรับการติดตั้ง ง่ายต่อการใช้งาน แต่อย่างไรก็ตามยังคงใช้ปรากฏการณ์การขยาย  AVALANCHE อยู่ ดังนั้นจึงมีความไวสูงเมื่อเปรียบเทียบกับ PD ทั่วไปและสัญญาณรบกวน (NOISE) ที่เกิดในอุปกรณ์รับแสงที่เรียกว่า SHOT NOISE นี้เป็น NOISE อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของ Photo current(Ip) ที่เกิดจากการกระตุ้นอิเล็กตรอนอย่างไม่เป็นระเบียบนั่นเอง
    ประสิทธิภาพของอุปกรณ์รับแสงจะประเมินจากคุณสมบัติต่างๆ ได้แก่UANTUM  EFFIDIENCY ซึ่งแสดงว่าแสงที่รับมานั้นถูกเปลี่ยนเป็นไฟฟ้าได้มากเท่าไร ความไวการรับแสง(ระดับรับแสงต่างๆ สุดที่ต้องการสำหรับการส่งที่มีคุณภาพ)ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการออกแบบระยะห่าง การถ่ายทอดของระบบการสื่อสารด้วยเส้นใยแสง(Repeater Station)  สัญญาณรบกวน (NOISE) ที่เกิดขึ้นและความเร็วของการตอบสนองการทำงาน สำหรับ   QUANTUM  EFFIDIENCY   กำหนดจากสารและโครงสร้างของอุปกรณ์รับแสงแสง แต่สำหรับความไวการรับแสงนั้นจะเกี่ยวข้องกับขนาดของแรงดันไฟฟ้าที่ป้อนให้ด้วย (Bias voltage) 

    วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2556

    การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง


    การเชื่อมต่อแลน 2 เครื่องไม่ต้องใช้ ฮับ การเซ็ตค่า

    1. เครื่องที่ 1 -คลิกขวา my Network pless > Properties -คลิกขวา ไอค่อนรูปคอมฯ 2 เครื่อง(locel Area connection) > Properties -General ติ๊กวงกลม Use the following IP addess - IP addess 192.168.1.1 - Supnetmask 255.255.255.0
    *Alternate Configuretion - ติ้กวงกลม Use configured - IP address 192.168.1.1 - Supnet mask 255.255.255.0 
    2..เครื่องที่ 2 ก็ทำเหมือนกัน แต่เปลี่ยน IP address เป็น - IP address 192.168.1.2 -Supnetmask 255.255.255.0

    อุปกรณ์ที่จำเป็นต้องมี

    Network equipment

    การเชื่อมต่อโน๊ตบุ๊คแบบไร้สาย


    1. เลือก Set up a new connection or network ตามรูป

    2. เลือก Set up wireless ad hoc นะครับ  3 . แล้วกด Next ได้เลย


    4. จะเข้าสู่หน้าต่าง Set Up an Ad Hoc Network ให้กด Next นะครับ

    5. ให้ตั้งชื่อ Network ที่จะสร้างนะครับ
    6. เลือกความปลอดภัย ในที่นี้ให้ท่านเลือกเป็น WpA2-Personal นะครับ (แต่ถ้าไม่ใส่รหัส เครื่องอื่นก็สามารถเข้ามาเชื่อต่อ แชร์ข้อมูลได้นะครับ)
    7. กำหนด รหัสการเชื่อมต่อครับ เพื่อความปลอดภัย
    8. กด Next เลยครับ

    9. ระบบจะทำการเชื่อมต่อ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดจะแจ้งให้ทราบว่า The (ชื่อที่ท่านตั้งไว้) network is ready to ues  และให้ท่านคลิก Turn on Internet .....  ดังรูป เพื่อทำการแชร์อินเตอร์เน็ต เท่านี้ก็เรียบร้อยครับ


    วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2556

    สวัสดีครับ ผม นาย วินัย กองเป็ง ในช่วงเทศกาลปีใหม่ในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ผมและเพื่อนๆแถวบ้านได้รวมกลุ่มกันประมาณ 5 คนและได้ออกไปเที่ยวกันที่เซ็นทรัลเวิ์ดผมได้ไปดู คอนเสิร์ตและดูแสงสีที่นั้นพอเวลา 4 ทุ่มผมและเพื่อนๆเดินทางกลับบ้านเพื่อที่จะมากินเลี้ยงกันและรอเวลาเคาท์ดาวน์ ในช่วงปีใหม่นี่ครับ ขอบขุณครับ

    วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555


    ดาวเทียมสื่อสาร (Communication Satellite)
    ดาวเทียมในยุคแรกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ประโยชน์ในการสื่อสาร เช่น วงจรโทรศัพท์ทางไกลระหว่างประเทศและการถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์ข้ามทวีป เป็นต้น ดาวเทียมประเภทนี้มักมีวงโคจรแบบค้างฟ้า ทำให้สะดวกและสามารถใช้งานได้ตลอดเวลา เพื่อให้สามารถติดต่อสื่อสารได้รอบโลกจะต้องใช้ดาวเทียมทั้งสิ้น 3 ดวง คือ
    1. ดาวเทียมเหนือมหาสมุทรอินเดีย เพื่อติดต่อระหว่างทวีปยุโรปและทวีปเอเซีย 
    2. ดาวเทียมเหนือมหาสมุทรแปซิฟิค เพื่อติดต่อระหว่างทวีปเอเซียและทวีปอเมริกา 
    3. ดาวเทียมเหนือมหาสมุทรแอตแลนติก เพื่อติดต่อระหว่างทวีปอเมริกาและทวีปยุโรป

          
    โดยมีองค์การอินเทลแซท (Intelsat – International Telecommunication Satellite Consortium) ซึ่งจัดตั้งในปี พ.ศ. 2507 เป็นผู้ให้บริการโดยได้จัดสร้างดาวเทียมอินเทลแซทและมีการสร้างดาวเทียมใหม่ทดแทนเมื่อดวงเก่าหมดอายุการใช้งาน ปัจจุบันคือ ดาวเทียมอินเทลแซท8 สถานีดาวเทียมภาคพื้นดินในระยะแรกจะต้องใช้จานสายอากาศขนาดใหญ่และอุปกรณ์ราคาแพงจำนวนมาก สถานีดาวเทียมภาคพื้นดินแห่งแรกของประเทศไทยอยู่ที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ซึ่งยังคงใช้งานมาจนถึงปัจจุบันนี้ เพื่อให้บริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศปัจจุบันมีดาวเทียมสื่อสารจำนวนมากที่มีวงโคจรค้างฟ้า เช่น ดาวเทียมไทยคม ดาวเทียมปาลาปา ดาวเทียมเอเซียแซท เป็นต้น ซึ่งดาวเทียมเหล่านี้สามารถส่งสัญญาณโทรทัศน์ไปถึงบ้านผู้ชมได้โดยตรงโดยใช้อุปกรณ์หรือจานสายอากาศขนาดเล็กในการรับสัญญาณโทรทัศน์โดยอาศัยสถานีดาวเทียมขนาดใหญ่ในการส่งสัญญาณโทรทัศน์ขึ้นไปยังดาวเทียมเพียงสถานีเดียวนอกจากนี้ยังมีดาวเทียมที่ให้บริการสื่อสารประเภทอื่น เช่น บริการโทรศัพท์ในเรือเดินทะเล บริการโทรศัพท์บนเครื่องบินโดยสาร บริการโทรศัพท์ผ่านดาวเทียมสำหรับพื้นที่ห่างไกล บริการอินเตอร์เน็ตผ่านดาวเทียม เป็นต้น 

    วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

    RG ย่อมาจาก Radio Guide ก็คือสายนำสัญญาณวิทยุนั่นเอง 

    สาย RG6  สายชนิดนี้เป็นสายนำสัญญาณภาพ ทีได้รับความนิยมนำมาใช้งานในระบบ นำสัญญาณภาพแบบต่างๆ ทั้ง TV เคเบิ้ล ดาวเทียม หรือ ระบบ Audio/Video ส่วนใหญ่ก็นิยมนำสายชนิดนี้มาใช้งาน และ สายชนิดนี้ยังนิยม นำมาใช้งานกับระบบกล้องวงจรปิด CCTV มากที่สุดอีกด้วย ซึ่งสาย RG6 ในปัจจุบันมีอยู่หลายเกรดด้วยกัน แต่สาย RG6 ที่ควรนำมาใช้งานในระบบกล้องวงจรปิดนั้นควรจะเป็นสาย RG6 ที่มีคุณภาพสูง มี Shield ป้องกันสัญญาณสูง 95% เพราะหากนำสายที่มีคุณภาพต่ำ มี Shield แค่ 60%-80% มาใช้งานอาจจะทำให้ได้คุณภาพของภาพจากกล้องวงจรปิดออกมาไม่ดี และ เมื่อใช้งานไปนานๆแล้ว อาจจะทำให้เกิดปัญญาณด้านสายสัญญาณภาพในภายหลังได้ สาย RG6 จะมีทั้งแบบที่เป็น Shield ทองแดง และ แบบที่เป็น Shield อลูมิเนียม ทั้งนี้ขึ้นอยู่สถานที่และต่ำแหน่งกล้องวงจรปิดที่จะใช้ในการติดตั้ง ว่าอยู่ ณ จุดใด หากเป็นจุดที่เดินสายในระยะไกลประมาณ 400-700 เมตรขึ้นไปก็ควรจะใช้สายที่เป็น Shield ทองแดง แต่ถ้าหากกล้องวงจรปิด ในจุดนั้นเดินสายไกลไม่เกิน 400 เมตร ก็ใช้สายที่เป็น Shield อะลูมิเนียมได้ สาย RG6 จะมีทั้งสีแดง และ สีขาว ซึ่งสาย สีขาวจะนิยมใช้งานภายในอาคาร เพราะสายสีขาวไม่ทนทานต่อแสงแดง สาย RG6 สีขาวส่วนใหญ่จะเป็นสายเกรดต่ำ ฉนวนหุ้มสายที่เป็นสีขาวนั้นเปื่อย-ขาดได้ง่าย ส่วนสาย RG6 ที่เป็นสีดำนั้น จะเป็นสายที่มีเกรดสูงกว่าสายสีขาว ทนทานต่อแดงได้ดี ไม่เปื่อย-ขาดง่าย ทนต่อความร้อนได้ แต่ก็จะมีราคาแพงกว่าสายสีขาว สายที่นิยมมาใช้ในระบบกล้องวงจรปิดนั้นจะใช้สายสีดำเป็น ทั้งภายในและภายนอกอาคาร เนื่องจากมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน และ ทนทานมากกว่าสาย RG6 สีขาว
     สาย RG59  สายชนิดนี้เป็นสายนำสัญญาณภาพเหมือนกันกับสาย RG6 แต่สาย RG59 จะมีขนาดที่เล็กกว่าสาย RG6 และมีความยืดยุ่นสูงกว่า เพราะสายเส้นเล็กกว่า แต่สาย RG59 จะนำสัญญาณภาพได้ในระยะที่สั้นกว่าสาย กว่าคือสาย RG59 นำสัญญาณภาพได้ไกลไม่เกิน 200 เมตร เพราะสาย RG59 มีการลดทอนของสัญญาณภาพมากที่สุด เพราะสายมีขนาดเล็กสุด นั่นเอง สาย RG59 จะเหมาะกับใช้งานภายในอาคาร ในลิฟท์ เพราะมีสายมีขนาดเล็กและมีความยืดยุ่นได้ดี

     สาย RG11 สายชนิดนี้เป็นสายนำสัญญาณภาพที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถนำสัญญาณได้ไกลถึง 1000 เมตร เพราะตัวสายมีขนาดใหญ่กว่าสาย RG6 และ RG59 อยู่มาก จึงมีแกนกลางที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดใหญ่ จึงนำสัญญาณได้ดี เหมาะกับใช้งานที่ต้องการเดินสายกล้องวงจรปิดระยะไกลๆได้ดีสาย

     สาย RG8  เป็น 50 โอห์มคู่สายที่ใช้สำหรับการส่งวิทยุ (เช่นในวิทยุสมัครเล่นหรือ CB) เมื่อเร็ว ๆ นี้พวกเขาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่พวกเขาสามารถเพิ่มการเชื่อมต่อ หนึ่งในสิ่งแรกที่คนจะสังเกตได้เกี่ยวกับ RG-8 สายคือว่าพวกเขามีขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับสายอื่น ๆเนื่องจากพวกเขามีสาย 50 โอห์มพวกเขาไม่สามารถที่จะใช้สำหรับชนิดของการทำงานวิดีโอใด ๆ พวกเขาจะประกอบด้วย dielectrics ศูนย์วัสดุตัวนำและแจ็คเก็ตล้อมรอบพวกเขาที่ให้การป้องกันจากอันตรายภายนอกถ้าคุณรู้ว่าคุณสมบัติของ RG-8 มีจุดซื้อมันไม่มี น้ำหนักของสินค้าที่ควรจะประมาณสองปอนด์และอาจขยายตราบเท่าที่ 75 ฟุต RG-8 สายเหมาะสำหรับการใช้งานในบางเหล่านี้ RG-8 สายมีความสามารถในการป้องกันที่มีประสิทธิภาพมาก สายงานหนักเช่นนี้ได้รับการออกแบบที่จะยืนการทดสอบของเวลาโดยไม่คำนึงถึงการใช้งานหรือสภาพแวดล้อม ตรวจสอบให้แน่ใจว่าที่ที่คุณได้รับจาก บริษัท สายของคุณมีความถูกต้องและความทนทานในธรรมชาติ สำหรับคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีเป็นจำนวนมากของการรบกวน, RG-8 สายสามารถเปิดออกเพื่อจะทางออกที่ดีที่สุด เหล่านี้สาย coaxial ควรจะใช้เมื่อสายเก่าได้รับความเสียหายโดยตัวแทนภายนอกก่อนที่คุณจะซื้อสุดท้ายของคุณคุณควรตรวจสอบกับผู้ผลิตที่รู้จักกันดีเพื่อเปรียบเทียบคุณภาพและค่าใช้จ่ายของสาย RG-8 จากนั้นคุณสามารถเลือกหนึ่งที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ

    สาย RG58   สายชนิดนี้ คู่สาย มักจะใช้สำหรับการใช้พลังงานต่ำของสัญญาณและ RF การเชื่อมต่อ สายมี ลักษณะความต้านทาน ของทั้ง 50 หรือ 52 Ω . "RG" เป็นตัวบ่งชี้หน่วยสำหรับสาย RF จำนวนมากในกองทัพสหรัฐ อิเล็กทรอนิคส์ประเภทร่วมระบบการกำหนด . มีหลายรุ่นครอบคลุมความแตกต่างในวัสดุหลัก (สายแข็งหรือถักเปีย) และโล่ (70% ถึง 95% ครอบคลุม) เป็นเส้นผ่าศูนย์กลางด้านนอกของ RG-58 ประมาณ 0.2 นิ้ว (5 มม. ) RG-58 น้ำหนักประมาณ 0.025 £ / ฟุต (37 g / m), การจัดแสดงนิทรรศการความจุประมาณ 25 pF / ฟุต (82 pF / m) และสามารถทนต่อสูงสุดไม่เกิน 300 V ที่มีศักยภาพ (1800 วัตต์) [1] RG-58 ธรรมดา สายมีตัวนำศูนย์ของแข็ง RG-58A / U มีความยืดหยุ่น 7 หรือ 19 ตัวนำศูนย์สาระมากที่สุด สองทางวิทยุ ระบบการสื่อสารเช่นทะเล วิทยุ CB , มือสมัครเล่น , ตำรวจ, ไฟไหม้, WLAN เสาอากาศ ฯลฯ ถูกออกแบบมาเพื่อทำงานร่วมกับสายเคเบิล 50 ΩRG-58 สายมักจะใช้เป็นผู้ให้บริการทั่วไปของสัญญาณในห้องปฏิบัติการร่วมกับ การเชื่อมต่อ BNC ที่ใช้กันทั่วไปในการทดสอบและอุปกรณ์การวัดเช่น Oscilloscope ของRG-58 ในรุ่น RG-58A / U หรือ RG-58C / U ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ใช้กันอย่างแพร่หลายใน "ผอม" อีเธอร์เน็ต ( 10Base2 ) ที่ให้ความยาวส่วนสูงสุดของ 185 เมตร อย่างไรก็ตามมันก็ถูกแทนที่เกือบทั้งหมดโดยคู่บิดสายเช่นCat 5 , Cat 6 และสายเคเบิลที่คล้ายกันในข้อมูลการใช้งานระบบเครือข่ายRG-58 สายสามารถใช้สำหรับความถี่สูงปานกลาง การลดทอนสัญญาณขึ้นอยู่กับความถี่ในการเช่นจาก 0.11 dB / m ที่ 50 MHz ถึง 1.4 dB / m ที่ 2 GHz

    วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555


        
                            สายเคเบิลประเภทนี้มักจะเป็นการรวมกันของสาย 4 คู่ในส่วนห่อหุ้มภายนอกเดียวกัน แต่ละคู่จะพันกันเป็นเกลียว ซึ่งจะมีจำนวนรอบในการพันต่าง ๆ กันไป  การพันเป็นเกลียวทำให้ไม่เกิดสัญญาณรบกวนจากสายคู่อื่น ๆ ในสายเดียวกันและจากอุปกรณ์ชนิดอื่น เช่น มอเตอร์ ตัวส่งสัญญาณ ตัวแปลงต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม สาย UTP  มักจะนำมาใช้ในสายโทรศัพท์ซึ่งสายโทรศัพท์ไม่มีการพันเป็นเกลียว และอุปกรณ์อื่น ๆ ทีต้องการส่งข้อมูล
                            ในปัจจุบันได้ปรับปรุงคุณสมบัติจนสามารถใช้กับสัญญาณความถี่สูงได้ สายยูทีพีใช้ลวดทองแดง 8 เส้น ขณะที่ในระบบโทรศัพท์จะใช้เพียง 2 หรือ 4 เส้น ซึ่งต่อเข้ากับหัวต่อแบบ RJ45 ซึ่งเป็นหัวต่อที่มีลักษณะคล้ายกับหัวต่อในระบบโทรศัพท์ทั่วไป แต่ในระบบโทรศัพท์จะเรียกหัวต่อว่า RJ11 การที่มีสายทองแดงไว้หลายเส้นก็เพื่อให้หัวต่อ RJ45 ซึ่งเป็นหัวต่อมาตรฐานสามารถเลือกใช้งานได้ในหลายๆ รูปแบบ เช่น
    - ใช้สายทองแดงตั้งแต่ 3-8 เส้น เป็นสายสัญญาณ 10 เมกะบิตของอีเธอร์เน็ตแบบ 10BASE-T
    - ใช้สายทองแดง 4 เส้น เป็นสายสัญญาณ 100 เมกะบิตของอีเธอร์เน็ตแบบ 100BASE-T
    - ใช้สายทองแดง 8 เส้น เป็นสายสัญญาณของเสียง
    - ใช้สายทองแดง 2 เส้น สำหรับระบบโทรศัพท์
     
                 Smile  หัวต่อ (Connectors)

                                                   ตัวเชื่อมต่อ RJ-45
    หัวต่อสาย CAT5 UTP เราจะเรียกกันติดปากว่า หัว RJ45 (RJ ย่อมาจาก Registered Jack)
    ในมาตรฐานของ IEEE กำหนดให้ Ethernet 10BaseT ต้องมีสายตีเกลียวเป็นคู่ ๆ และคู่ที่หนึ่งจะเชื่อมต่อเข้ากับขา 1 และ 2 , และ คู่ที่สองจะต่อเข้ากับขา 3 และ 6 ส่วนขา 4 และ 5 จะข้ามไม่ใช้งาน
    การเชื่อมต่อสายตามมาตรฐาน EIA/TIA-568B RJ-45 : ในการใช้งานจะใช้แค่ 2 คู่ในการรับส่งข้อมูลตามมาตรฐาน 10BaseT โดยใช้คู่ที่ 2 (ขาว/สัม , ส้ม) และคู่ที่ 3 (ขาว/เขียว , เขียว)  โดยใช้คู่ที่ 2 (ขาว/สัม , ส้ม) และคู่ที่ 3 (ขาว/เขียว , เขียว)
    คู่ที่ 2ต่อเข้ากับขา 1 และ2ดังนี้:
    ขา 1 ใช้สีขาว/ส้ม
    ขา2 ใช้สีส้ม
    คู่ที่3ต่อเข้ากับขา3 และ6ดังนี้:
    ขา3 ใช้สีขาว/ส้ม
    ขา6 ใช้สีส้ม
    ส่วนสองคู่ที่เหลือให้ต่อดังนี้
    คู่ที่ 1
    ขา4 ใช้สีน้ำเงิน
    ขา5 ใช้สีขาว/น้ำเงิน
    คู่ที่ 4
    ขา7 ใช้สีขาว/น้ำตาล
    ขา8 ใช้สีน้ำตาล
    การเรียงสีให้ดูตามรูป 
    เมื่อจัดสีให้ตรงตามแบบแล้วก็ทำการตัดให้ปลายเท่ากันแล้วใส่สายเข้าไปในหัว RJ45
    โดยให้ปลายของสายแต่ละเส้นไปชนกับด้านบนสุดของหัว RJ45 เมื่อชนสุดแล้วใช้คีมสำหรับเข้าหัว RJ45 บีบให้แน่น จากนั้นให้ทำเหมือนกันทั้งสองด้าน
    สายไข้ว (Crossover Cables)
    ในการเข้าสายแบบพิเศษ หรือที่เรียกกันว่า สายไขว้ (Crossover Cable) จะมีการเปลี่ยนตำแหน่งของปลายสายด้านหนึ่งของสายเคเบิล ซึ่งจะสลับกันจาก ขา 1&2 ไปเป็นขา 3&6 และจากขา 3&6 ไปเป็นขา 1&2 ส่วนขา 4&5 และ 7&8 ไม่เปลี่ยนแปลง
    เพื่อให้เข้าใจจะมีการต่อสายทั้งสองด้านดังนี้
    
    ปลายด้านปกติ (Standard)ปลายด้านไขว้ (Crossover)
    ขา 1 ขาว/ส้มขา 1 ขาว/เขียว
    ขา 2 ส้มขา 2 เขียว
    ขา 3 ขาว/เขียวขา 3 ขาว/ส้ม
    ขา 4 น้ำเงินขา 4 น้ำเงิน
    ขา 5 ขาว/น้ำเงินขา 5 ขาว/น้ำเงิน
    ขา 6 เขียวขา 6 ส้ม
    ขา 7 ขาว/น้ำตาลขา 7 ขาว/น้ำตาล
    ขา 8 น้ำตาลขา 8 น้ำตาล
    ข้อมูลในตารางจะใช้สำหรับปลายด้านที่เป็นสายไขว้ (Crossover End)
    คู่ที่ 2ต่อเข้ากับขา 1 และ2ดังนี้:
    ขา1 ใช้สีขาว/เขียว
    ขา2 ใช้สีเขียว
    คู่ที่ 2ต่อเข้ากับขา3 และ6ดังนี้:
    ขา3 ใช้สีขาว/ส้ม
    ขา6 ใช้สีส้ม
    ภาพที่แสดงจะเป็นการเรียงสีของสายที่จะทำเป็นปลายสายไขว้
     
    เมื่อสอดปลายของสายแต่ละเส้นไปชนกับด้านบนสุดของหัว RJ45 จากนั้นก็ใช้คีมสำหรับเข้าหัว RJ45 บีบให้แน่น
     
    แหล่งข้อมูล : (http://bigtui.exteen.com/20061130/utp-rj45)